วันแรก Kawah Ijen
ถึงสนามบินเกือบเที่ยงคืน รถเช่ามารอรับ แล้วก็นั่งรถยาว 7 ชั่วโมงไปเช้าที่ Catimor Homestay หมู่บ้านตีนภูเขาไฟอีเจ้น (Ijen) ถนนหนทางสุดยอดมาก ออกนอกเมืองสุราบายาหน่อยก็เป็นถนน 2 เลนสวน หลุมบ่อเยอะแยะ แม้จะดึกรถก็ยังวิ่งกันขวักไขว่ รถบรรทุกเยอะมาก พอเลยเมืองขึ้นเขามาก็เจอถนนหิน กระเด้งกระดอนสงสารล้อรถมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะพาขึ้นมาได้ ไปถึงก็ 8 โมงแล้ว สายเกินกว่าจะปีนภูเขา เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบ อยากจอดถ่ายรูปที่ไหนให้คนขับรถจอดถ่ายได้เลย อาชีพหลักของที่นี่คือเป็นคนงานไร่กาแฟ กับปลูกผัก เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ดูเงียบสงบมาก มีโรงเรียน มัสยิด ธารน้ำไหลผ่าน เดินเข้าฝ่าหมู่บ้านไปกิโลเดียวก็เจอบ่อน้ำร้อน ค่าเข้าไปแช่เท้าคนละ 3,000 (ประมาณ 10 บาท) น้ำร้อนกำลังดี เลยบ่อน้ำร้อนไปอีก 200 เมตรจะเจอน้ำตกที่อลังการมาก ไหลลงช่องสายน้ำฟุ้งกระจาย มอสขึ้นเขียวครึ้ม
อาหารเที่ยงของ Catimor เป็นบุฟเฟต์ ถ้าเยอะมากมากัน 5 คน ควรสั่งแค่ 3 ที่ มีข้าว ไก่ทอด มันทอด ไข่ม้วน ซุปผัก ข้าวเกรียบ วันแรกนอกจากบ่อน้ำร้อนกับน้ำตกก็ได้แต่เดินเที่ยวในหมู่บ้าน นอนคืนนึงก่อนจะตื่นมาเช้ามืดเพื่อปีนภูเขาไฟกัน
ออกจากที่พักตี 4 ขับรถไปจอดตีนเขาอีกชั่วโมงนึง เริ่มปีนตอน 5 โมงจะไปถึงยอดเข้า 6.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่พอดี ไม่หนาวเกินไป แต่ปกติคนไทยจะไม่เชื่อคำแนะนำของคนขับรถ คิดว่าถ้าไปถึงยอดเขาตี 4 จะสวยกว่าตามคำร่ำลือ บางกลุ่มออกปีนตั้งแต่ ตี 2 บางกลุ่มออกเที่ยงคืน สรุปคือ ไปนั่งหนาวอยู่บนยอดเขา มองไม่เห็นอะไรเลย ก็มันยังมืดอยู่ หาที่หลบลมหนาวกันทรมานมากกว่าจะเช้าให้มีแสงพอถ่ายรูปติด
Kawah Ijen คาวา อีเจ้น คำว่า คาวา แถวภาคใต้บ้านเราจะเรียก กาเว๊าะ แปลว่ากะทะขนาดยักษ์ รูปทรงปากปล่องภูเขาไฟก็เหมือนกะทะจริงๆ มีน้ำสีเขียวอยู่ข้างใน ควันกำมะถันโชยแรงมาก หาที่ปิดจมูกไปด้วย ทางขึ้นชันมาก เป็นถนนดิน ระหว่างทางมีกำมะถันหล่อเป็นรูปตุ๊กตาเล็กๆขาย ปีนไปได้ 3 ใน 4 จึงจะเจอทางเรียบ ขาลงก็ลื่นง่าย ลงมาถึงรถก็กลับไปกินอาหารเช้า มีแค่ขนมปังกับไข่ต้ม แล้วก็ออกเดินทางต่อยังโบรโม่ ซึ่งอยู่ไกลกันอยู่ กว่าจะถึงก็เย็นแล้ว
ข้อแนะนำ
มาถึงตอนเย็นเป็นหมู่บ้านบนยอดเขา เหมือนหมู่บ้านชาวเขาของไทย ปลูกกะหล่ำเป็นหลัก วิวสวยมาก หมอกปกคลุมตลอด ควรจะพักที่ Cemera Indha เพราะวิวมองเห็นโบรโม่ แต่เขาไม่ยอมช่วยจองที่พักวันแรกให้ผม ผมเลยไปพักที่ Yoschi ซึ่งตอบเมลไวมาก ที่พักก็เหมือน Boutique Hotel สวยดี จองรถจี๊ปกับเขาเลย 450,000 นั่งได้ไม่เกิน 6 คน แล้วก็เดินชมหมู่บ้านเล่น
ออกปีนโบรโม่ตี 3 ครึ่ง โรงแรมให้ตื่นมารอตั้งแต่ตี 3 เช่ารถจี๊ปราคาประมาณ 450,000 ปีนเขาลงเขาฝ่าทะเลทรายและสายหมอกไม่รู้ว่าเขารู้ได้ไงว่าต้องเลี้ยวทางไหน ปีนขึ้นภูเขาไปรอพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว ทางทุรกันดานทรหดแค่ไหน ก็ยังมีเจ้าถิ่นขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาด้วย อากาศหนาวกำลังดี ทะเลหมอกรอบภูเขาไฟสวยมาก คนจะแห่กันจองที่สำหรับถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น เราไม่สนใจ รอถ่ายภูเขาไฟตอนแสงมาก็พอ พระอาทิตย์ขึ้น ถ่ายรูปจนพอใจก็ไปนั่งรถจี๊ปลงจากเขา ไปปีนขึ้นโบรโม่ ตรงรถจี๊ปจอดมีกลุ่มคนขี่ม้า ราวกับกองโจรดักรอเราอยู่ ราคาค่าขึ้นตอนแรกเขาจะบอกเราที่ 125,000 แล้วราคาจะลดลงเรื่อยๆถ้าเราเดินเข้าไปเรื่อยๆ คุณก็รอจนกว่าจะได้ราคาที่คุณพอใจค่อยขึ้น แต่เขาจะได้ลูกค้าแค่วันละรอบเท่านั้น ให้เขาไปเถอะ
ตรงตีนเขาโบรโม่ มีวัดฮินดูอยู่ด้วย ยิ่งสายหมอกจะค่อยๆสลายสวยมาก ขี่ม้าขึ้นไปจนถึงบันไดสำหรับปีนขึ้นปากปล่อง เหนื่อยเอาเรื่องเพราะมันชัน บนปากปล่องไม่มี security ใดๆทั้งสิ้น เป็นปากปล่องแคบๆ ถ้าคนขึ้นไปเยอะก็ไม่มีที่ยืน เสี่ยงต่อการร่วงลงไปในปล่องที่กำลังพ่นควัน หรือหงายหลังลงไปกองตรงตีนบันไดใหม่ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักนิดหน่อยก็ลงมาได้ ให้คนอื่นได้ขึ้นมาบ้าง กลับไปขี่หลังม้าตัวเดิมที่ต่อราคามาได้ เขามีป้ายชื่อคนจูงมาให้ ค่อยจ่ายเงินตอนเขาพาเรามาส่งถึงรถจี๊บ เสร็จประมาณ 8 โมงขึ้นรถกลับที่พัก เก็บของเสร็จก็ออกเดินทางต่อ
ออกจากที่พักไปเที่ยวน้ำตก Madakaripura เนื่องจากทางเดินที่เขาสร้างไว้พังหมดแล้ว เลยต้องลุยน้ำเข้าไป จำเป็นต้องมีไกด์ ค่าจ้าง 100,000 ต่อคน สาวๆ 2 คนควรมีไกด์ 1 คน คอยลากจูงไม่ได้ล้มไปกับกระแสน้ำ เข้าไปแล้วคุณจะตะลึง อย่างกับเรื่อง LOST เดินลอดใต้สายน้ำตกที่ไหลลงมาสู่แผ่นหินที่ปกคลุมด้วยใบไม้เขียวชะอุ่ม สวยงามมาก ด้านในสุดของน้ำตกเป็นปล่องที่น้ำตกไหลลงมากระทบ สวยสุดๆ ถ้าเจอฝนตกให้รีบกลับออกมาทันที เพราะมันอันตรายมาก เปียกออกมาจากน้ำตกก็ออกเดินทางต่อไป Makang บนเส้นทางกลับไป Surabaya
ข้อแนะนำ
โรงแรมที่จองไว้ชื่อ Villa&Family Hotel Gradia อยู่ในย่าน Batu ไม่ไกลจากตัวเมืองแต่เข้าซอยลึกหน่อย สวยดี อาหารเช้าอร่อย มีที่ให้ขึ้นไปชมวิวเมือง แล้วเข้าไปชมวิวและหาอะไรกินในเมือง รอบๆวงเวียนหน้า Plaza ของกินถูกมาก
ตื่นเช้ามาข้ามไปกินข้าวเช้าที่ Gradia 2 แล้วก็ออกเดินทางเที่ยวน้ำตก Coban Rondo สูงถึง 87 เมตร แล้วก็ลงเขาลูกนึงไปขึ้นเขาอีกลูก เข้าดูดอกไม้เล่นใน ... เสร็จแล้วขับต่อขึ้นไปเดินหยิบลูกแอ๊ปเปิ้ลกินในสวน ค่าเข้าแค่คนละ 20,000 กินอิ่มก็ไปสุราบายา กว่าจะถึงตัวเมืองก็ 3-4 ชั่วโมง มาถึงก็ไปเยี่ยมคารวะเจ้าถิ่นก่อนเลย คือ Komodo ในสวนสัตว์ ค่าเข้าคนละ 15,000
ใกล้ค่ำกลับที่พัก พักที่ @thome ราคาถูกมาก คืนละ 300 กว่าบาท เป็นเกสต์เฮาส์ที่อาแปะเอาตึกแถวเก่าๆมาทำ อยู่ใกล้คาร์ฟูร์ กลางคืนเป็นซอยมืดๆ แต่ดีตรงห้องใหม่มากมีแอร์มีทีวี ห้องน้ำรวม หาอาหารพื้นเมืองกินง่ายๆตามรถเข็นที่จอดขายริมถนนทั่วไป หรือไปกินในคาร์ฟูร์
วันที่สี่ Surabaya
เที่ยวในเมืองสุราบายา โรงงานบุหรี่ Sempurna ชมคนงานกำลังทำบุหรี่แบบ handmade มือไวมาก ซื้อบุหรี่กลับไปเป็นของฝาก ราคาถูกกว่าข้างนอกนิดหน่อย, วนไปดูมัสยิดเจิ้งเหอ มัสยิดทรงจีนแห่งเดียวในโลก มองด้านนอกนึกว่าวัดจีน มีเวลาเหลือก็ไปดูเรือดำน้ำ เป็นเรือดำน้ำธรรมดาทั่วไป ถ่ายรูปกับสัญลักษณ์เมืองสุราบายา ก่อนกลับสนามบินก็ไปมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในสุราบายา Al-Akbar แล้วก็ขึ้นโทลเวย์ไปสนามบินใช้เวลาแค่ 15 นาที
สนามบินก็เข้าออกง่ายมาก แทบจะไม่มีคิวให้รอ มี Duty Free ให้ซื้อน้อยมาก พกขนมขึ้นเครื่องได้เต็มที่ ยกเว้นน้ำ
ข้อแนะนำ
ที่จำเป็นต้องรู้อย่างมากคือตัวเลข ได้ใช้แน่เวลาซื้อของหรือจ่ายค่าเข้าสถานที่ ซึ่งเป็นคำเดียวกับภาษามาเลย์และภาษายาวีแถวภาคใต้บ้านเราเป๊ะ
1=ซาตู 2=ดูวอ 3=ตีฆอ (ฆอไม่ได้อ่านว่าคอ แต่ภาษาไทยไม่มีตัวเขียนคำนี้) 4=อัมปัด 5=ลีมา 6=นัม 7 =ตูโย๊ะ 8=ลาปัน 9=สมีลัน 10=สปูโล๊ะ
5 คน = ลีมาออรัง (ออรัง แปลว่า คน)
11=สบือลัส 12=ดูวอบือลัส 13=ตีฆอบือลัส ... 20=ดูวอปูโล๊ะ
100=สราโต๊ะ 200=ดูวอราโต๊ะ ... 1,000=สรีบู 20,000=ดูวอปูโล๊ะรีบู
หน่วยหลักของเงินที่ใช้กันคือหลักพัน คือรีบู 5,000 = ลีมารีบู
ถึงสนามบินเกือบเที่ยงคืน รถเช่ามารอรับ แล้วก็นั่งรถยาว 7 ชั่วโมงไปเช้าที่ Catimor Homestay หมู่บ้านตีนภูเขาไฟอีเจ้น (Ijen) ถนนหนทางสุดยอดมาก ออกนอกเมืองสุราบายาหน่อยก็เป็นถนน 2 เลนสวน หลุมบ่อเยอะแยะ แม้จะดึกรถก็ยังวิ่งกันขวักไขว่ รถบรรทุกเยอะมาก พอเลยเมืองขึ้นเขามาก็เจอถนนหิน กระเด้งกระดอนสงสารล้อรถมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะพาขึ้นมาได้ ไปถึงก็ 8 โมงแล้ว สายเกินกว่าจะปีนภูเขา เพราะฉะนั้นไม่ต้องรีบ อยากจอดถ่ายรูปที่ไหนให้คนขับรถจอดถ่ายได้เลย อาชีพหลักของที่นี่คือเป็นคนงานไร่กาแฟ กับปลูกผัก เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ดูเงียบสงบมาก มีโรงเรียน มัสยิด ธารน้ำไหลผ่าน เดินเข้าฝ่าหมู่บ้านไปกิโลเดียวก็เจอบ่อน้ำร้อน ค่าเข้าไปแช่เท้าคนละ 3,000 (ประมาณ 10 บาท) น้ำร้อนกำลังดี เลยบ่อน้ำร้อนไปอีก 200 เมตรจะเจอน้ำตกที่อลังการมาก ไหลลงช่องสายน้ำฟุ้งกระจาย มอสขึ้นเขียวครึ้ม
อาหารเที่ยงของ Catimor เป็นบุฟเฟต์ ถ้าเยอะมากมากัน 5 คน ควรสั่งแค่ 3 ที่ มีข้าว ไก่ทอด มันทอด ไข่ม้วน ซุปผัก ข้าวเกรียบ วันแรกนอกจากบ่อน้ำร้อนกับน้ำตกก็ได้แต่เดินเที่ยวในหมู่บ้าน นอนคืนนึงก่อนจะตื่นมาเช้ามืดเพื่อปีนภูเขาไฟกัน
ออกจากที่พักตี 4 ขับรถไปจอดตีนเขาอีกชั่วโมงนึง เริ่มปีนตอน 5 โมงจะไปถึงยอดเข้า 6.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่พอดี ไม่หนาวเกินไป แต่ปกติคนไทยจะไม่เชื่อคำแนะนำของคนขับรถ คิดว่าถ้าไปถึงยอดเขาตี 4 จะสวยกว่าตามคำร่ำลือ บางกลุ่มออกปีนตั้งแต่ ตี 2 บางกลุ่มออกเที่ยงคืน สรุปคือ ไปนั่งหนาวอยู่บนยอดเขา มองไม่เห็นอะไรเลย ก็มันยังมืดอยู่ หาที่หลบลมหนาวกันทรมานมากกว่าจะเช้าให้มีแสงพอถ่ายรูปติด
Kawah Ijen คาวา อีเจ้น คำว่า คาวา แถวภาคใต้บ้านเราจะเรียก กาเว๊าะ แปลว่ากะทะขนาดยักษ์ รูปทรงปากปล่องภูเขาไฟก็เหมือนกะทะจริงๆ มีน้ำสีเขียวอยู่ข้างใน ควันกำมะถันโชยแรงมาก หาที่ปิดจมูกไปด้วย ทางขึ้นชันมาก เป็นถนนดิน ระหว่างทางมีกำมะถันหล่อเป็นรูปตุ๊กตาเล็กๆขาย ปีนไปได้ 3 ใน 4 จึงจะเจอทางเรียบ ขาลงก็ลื่นง่าย ลงมาถึงรถก็กลับไปกินอาหารเช้า มีแค่ขนมปังกับไข่ต้ม แล้วก็ออกเดินทางต่อยังโบรโม่ ซึ่งอยู่ไกลกันอยู่ กว่าจะถึงก็เย็นแล้ว
ข้อแนะนำ
- ใครจะไปพักที่ Catimor กรุณาเตรียม ปากกา สมุด พวกอุปกรณ์การเรียนไปแจกเด็กๆที่นั่นด้วย คนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม เลยไม่มีการคุมกำเนิด เด็กๆเยอะมาก เขาจะไม่ขอเงินคุณ แต่จะขอปากกา
- ถ้าไปแต่เช้ามืด บน Kawah Ijen หนาวมาก เตรียมเครื่องนุ่งห่มไปให้พร้อม ติดน้ำร้อนกับของกินไปด้วยก็ดี
- ถ้าใครบอกว่าปีนไปถึงตี 4 จะเห็นแสงสีน้ำเงินสวยมาก อย่าไปเชื่อ เพราะช่วงนี้เขาปิด ไม่มีคนงานลงไปเอากำมะถัน แสงสีน้ำเงินไม่เกิด ไปตีเท่าไหร่ก็ไม่เห็น
มาถึงตอนเย็นเป็นหมู่บ้านบนยอดเขา เหมือนหมู่บ้านชาวเขาของไทย ปลูกกะหล่ำเป็นหลัก วิวสวยมาก หมอกปกคลุมตลอด ควรจะพักที่ Cemera Indha เพราะวิวมองเห็นโบรโม่ แต่เขาไม่ยอมช่วยจองที่พักวันแรกให้ผม ผมเลยไปพักที่ Yoschi ซึ่งตอบเมลไวมาก ที่พักก็เหมือน Boutique Hotel สวยดี จองรถจี๊ปกับเขาเลย 450,000 นั่งได้ไม่เกิน 6 คน แล้วก็เดินชมหมู่บ้านเล่น
ออกปีนโบรโม่ตี 3 ครึ่ง โรงแรมให้ตื่นมารอตั้งแต่ตี 3 เช่ารถจี๊ปราคาประมาณ 450,000 ปีนเขาลงเขาฝ่าทะเลทรายและสายหมอกไม่รู้ว่าเขารู้ได้ไงว่าต้องเลี้ยวทางไหน ปีนขึ้นภูเขาไปรอพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิว ทางทุรกันดานทรหดแค่ไหน ก็ยังมีเจ้าถิ่นขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาด้วย อากาศหนาวกำลังดี ทะเลหมอกรอบภูเขาไฟสวยมาก คนจะแห่กันจองที่สำหรับถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น เราไม่สนใจ รอถ่ายภูเขาไฟตอนแสงมาก็พอ พระอาทิตย์ขึ้น ถ่ายรูปจนพอใจก็ไปนั่งรถจี๊ปลงจากเขา ไปปีนขึ้นโบรโม่ ตรงรถจี๊ปจอดมีกลุ่มคนขี่ม้า ราวกับกองโจรดักรอเราอยู่ ราคาค่าขึ้นตอนแรกเขาจะบอกเราที่ 125,000 แล้วราคาจะลดลงเรื่อยๆถ้าเราเดินเข้าไปเรื่อยๆ คุณก็รอจนกว่าจะได้ราคาที่คุณพอใจค่อยขึ้น แต่เขาจะได้ลูกค้าแค่วันละรอบเท่านั้น ให้เขาไปเถอะ
ตรงตีนเขาโบรโม่ มีวัดฮินดูอยู่ด้วย ยิ่งสายหมอกจะค่อยๆสลายสวยมาก ขี่ม้าขึ้นไปจนถึงบันไดสำหรับปีนขึ้นปากปล่อง เหนื่อยเอาเรื่องเพราะมันชัน บนปากปล่องไม่มี security ใดๆทั้งสิ้น เป็นปากปล่องแคบๆ ถ้าคนขึ้นไปเยอะก็ไม่มีที่ยืน เสี่ยงต่อการร่วงลงไปในปล่องที่กำลังพ่นควัน หรือหงายหลังลงไปกองตรงตีนบันไดใหม่ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักนิดหน่อยก็ลงมาได้ ให้คนอื่นได้ขึ้นมาบ้าง กลับไปขี่หลังม้าตัวเดิมที่ต่อราคามาได้ เขามีป้ายชื่อคนจูงมาให้ ค่อยจ่ายเงินตอนเขาพาเรามาส่งถึงรถจี๊บ เสร็จประมาณ 8 โมงขึ้นรถกลับที่พัก เก็บของเสร็จก็ออกเดินทางต่อ
ออกจากที่พักไปเที่ยวน้ำตก Madakaripura เนื่องจากทางเดินที่เขาสร้างไว้พังหมดแล้ว เลยต้องลุยน้ำเข้าไป จำเป็นต้องมีไกด์ ค่าจ้าง 100,000 ต่อคน สาวๆ 2 คนควรมีไกด์ 1 คน คอยลากจูงไม่ได้ล้มไปกับกระแสน้ำ เข้าไปแล้วคุณจะตะลึง อย่างกับเรื่อง LOST เดินลอดใต้สายน้ำตกที่ไหลลงมาสู่แผ่นหินที่ปกคลุมด้วยใบไม้เขียวชะอุ่ม สวยงามมาก ด้านในสุดของน้ำตกเป็นปล่องที่น้ำตกไหลลงมากระทบ สวยสุดๆ ถ้าเจอฝนตกให้รีบกลับออกมาทันที เพราะมันอันตรายมาก เปียกออกมาจากน้ำตกก็ออกเดินทางต่อไป Makang บนเส้นทางกลับไป Surabaya
ข้อแนะนำ
- ไม่ต้องเช่าเสื้อกันหนาวที่โรงแรมตัวละ 25,000 ไปถึงจุดชมวิวถ้าหนาวจนทนไม่ได้ ให้เช่าของชาวบ้านที่นั่นแค่ 5,000 เอง ตอนไปปีนโบรโม่อากาศกำลังดีถึงร้อน ไม่ต้องใช้เสื้อกันหนาวแล้ว
- ไปน้ำตก Madakaripura เตรียมเสื้อกันฝนไปด้วย เพราะถึงฝนไม่ตกก็ต้องเดินลอดสายน้ำตกเปียกอยู่ดี
โรงแรมที่จองไว้ชื่อ Villa&Family Hotel Gradia อยู่ในย่าน Batu ไม่ไกลจากตัวเมืองแต่เข้าซอยลึกหน่อย สวยดี อาหารเช้าอร่อย มีที่ให้ขึ้นไปชมวิวเมือง แล้วเข้าไปชมวิวและหาอะไรกินในเมือง รอบๆวงเวียนหน้า Plaza ของกินถูกมาก
ตื่นเช้ามาข้ามไปกินข้าวเช้าที่ Gradia 2 แล้วก็ออกเดินทางเที่ยวน้ำตก Coban Rondo สูงถึง 87 เมตร แล้วก็ลงเขาลูกนึงไปขึ้นเขาอีกลูก เข้าดูดอกไม้เล่นใน ... เสร็จแล้วขับต่อขึ้นไปเดินหยิบลูกแอ๊ปเปิ้ลกินในสวน ค่าเข้าแค่คนละ 20,000 กินอิ่มก็ไปสุราบายา กว่าจะถึงตัวเมืองก็ 3-4 ชั่วโมง มาถึงก็ไปเยี่ยมคารวะเจ้าถิ่นก่อนเลย คือ Komodo ในสวนสัตว์ ค่าเข้าคนละ 15,000
ใกล้ค่ำกลับที่พัก พักที่ @thome ราคาถูกมาก คืนละ 300 กว่าบาท เป็นเกสต์เฮาส์ที่อาแปะเอาตึกแถวเก่าๆมาทำ อยู่ใกล้คาร์ฟูร์ กลางคืนเป็นซอยมืดๆ แต่ดีตรงห้องใหม่มากมีแอร์มีทีวี ห้องน้ำรวม หาอาหารพื้นเมืองกินง่ายๆตามรถเข็นที่จอดขายริมถนนทั่วไป หรือไปกินในคาร์ฟูร์
วันที่สี่ Surabaya
เที่ยวในเมืองสุราบายา โรงงานบุหรี่ Sempurna ชมคนงานกำลังทำบุหรี่แบบ handmade มือไวมาก ซื้อบุหรี่กลับไปเป็นของฝาก ราคาถูกกว่าข้างนอกนิดหน่อย, วนไปดูมัสยิดเจิ้งเหอ มัสยิดทรงจีนแห่งเดียวในโลก มองด้านนอกนึกว่าวัดจีน มีเวลาเหลือก็ไปดูเรือดำน้ำ เป็นเรือดำน้ำธรรมดาทั่วไป ถ่ายรูปกับสัญลักษณ์เมืองสุราบายา ก่อนกลับสนามบินก็ไปมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในสุราบายา Al-Akbar แล้วก็ขึ้นโทลเวย์ไปสนามบินใช้เวลาแค่ 15 นาที
สนามบินก็เข้าออกง่ายมาก แทบจะไม่มีคิวให้รอ มี Duty Free ให้ซื้อน้อยมาก พกขนมขึ้นเครื่องได้เต็มที่ ยกเว้นน้ำ
ข้อแนะนำ
- เตรียมเงินค่าภาษีสนามบินไว้เลย 150,000 จ่ายที่เคาเตอร์เช็กอินตอนกลับ
- เตรียมตัวแปลงปลั๊กไฟไปด้วย โรงแรมหลายแห่งไม่มีให้ยืม
- ใครไม่มีเวลา วันที่ 3-4 ตัดทิ้งได้
ที่จำเป็นต้องรู้อย่างมากคือตัวเลข ได้ใช้แน่เวลาซื้อของหรือจ่ายค่าเข้าสถานที่ ซึ่งเป็นคำเดียวกับภาษามาเลย์และภาษายาวีแถวภาคใต้บ้านเราเป๊ะ
1=ซาตู 2=ดูวอ 3=ตีฆอ (ฆอไม่ได้อ่านว่าคอ แต่ภาษาไทยไม่มีตัวเขียนคำนี้) 4=อัมปัด 5=ลีมา 6=นัม 7 =ตูโย๊ะ 8=ลาปัน 9=สมีลัน 10=สปูโล๊ะ
5 คน = ลีมาออรัง (ออรัง แปลว่า คน)
11=สบือลัส 12=ดูวอบือลัส 13=ตีฆอบือลัส ... 20=ดูวอปูโล๊ะ
100=สราโต๊ะ 200=ดูวอราโต๊ะ ... 1,000=สรีบู 20,000=ดูวอปูโล๊ะรีบู
หน่วยหลักของเงินที่ใช้กันคือหลักพัน คือรีบู 5,000 = ลีมารีบู
1 comment:
not sure what you are writing here. But seems like you had fun and enjoyed Surabaya and Malang. looking forward your next visit to my country. :)
Post a Comment